สุขศึกษาและพละศึกษา

วิชาสุขศึกษา



บทคัดย่อ


ในปัจจุบันสังคมได้พบปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์มากมาย  ปัญหานี้ส่วนมากจะพบในกลุ่มวัยรุ่น  อย่างเช่น  ตั้งครรภ์ในวัยเรียน เอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกมากมาย
     
โดยปัญหาดังกล่าวนี้ทางคณะกลุ่มจึงได้จัดการระดมความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาโดยให้บุคคลในวัยต่างๆเช่นวัยรุ่นจนถึงวัยชรากรอกแบบสอบถามความคิดเห็นการใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อเฉลี่ยสรุปความคิดเห็นจากวัยต่างๆที่ได้แล้วทางคณะกลุ่มจะนำมาแก้ไขปัญหาต่อไป


บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
      ในปัจจุบันสังคมได้พบปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์มากมาย  ปัญหานี้ส่วนมากจะพบในกลุ่มวัยรุ่น  อย่างเช่น  ตั้งครรภ์ในวัยเรียน เอดส์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกมากมาย
      โดยปัญหาดังกล่าวนี้ทางคณะกลุ่มจึงได้จัดการระดมความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาโดยให้บุคคลในวัยต่างๆเช่นวัยรุ่นจนถึงวัยชรากรอกแบบสอบถามความคิดเห็นการใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อเฉลี่ยสรุปความคิดเห็นจากวัยต่างๆที่ได้แล้วทางคณะกลุ่มจะนำมาแก้ไขปัญหาต่อไป


จุดมุ่งหมายของการค้นคว้า
1.  เพื่อส่งเสริมรณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองทุกครั้งเมื่อมีการ่วมเพศ
2.  เพื่อให้รู้จักการคุมกำเนิด
3.  เพื่อป้องกันอันตรายจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
4.  เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตั้งอันไม่พึงประสงค์
5.  เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคม
สมมุติฐานของการศึกษา
เฉลี่ยและสรุปจากความคิดเห็นของบุคคลในแต่ละวัยแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่อไป
ขอบเขตในการศึกษาค้นคว้า
1.  ผู้แสดงความคิดเห็นได้จาก จำนวนนักเรียนโรงเรียนอำนาจเจริญ จำนวน 50 คน
2.  ผู้แสดงความคิดเห็นได้จาก ครู ผู้ปกครอง ชุมชนเขตพื้นที่ท้องถิ่นในจังหวัดอำนาจเจริญ 50 คน






ระยะเวลาในการศึกษา    
               คณะผู้จัดทำโครงงานใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าตั้งแต่  วันที่ 1  สิงหาคม 2554                                        ถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2554  ณ ห้องกลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา




บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
             ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่กลับไม่ค่อยชอบใช้กัน บ้างก็อ้างว่า ไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่ถุงยางอนามัยนั้นทำมาจากยางธรรมชาติแท้ๆ อย่าว่าแต่พกถุงยางอนามัยเลย แม้แต่จะซื้อถุงยางอนามัยก็ยังอาย ก็ไม่รู้จะไปอายอะไรกัน พึงระลึกเสมอว่า "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยนั้นคือ คนที่มีความรับผิดชอบ" รับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อคู่ของตัว เพราะถุงยางอนามัยนั้นนอกจากจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย ป้องกันตัวเองที่จะไม่รับเชื้อและป้องกันไม่แพร่เชื้อไปยังคู่ของตัวเอง


แบบของถุงยางอนามัย
             ถุงยางอนามัยเมื่อเป็นสินค้าก็ย่อมมีการตลาด จึงต้องมีแบบต่างๆ ให้ลูกค้าเลือกมากมาย ตามความต้องการของลูกค้ารวมทั้งทำเพื่อเป็นจุดขายเพื่อการโฆษณาด้วย ถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติชนิดเข้มข้นมีรูปแบบที่เกี่ยวกับลักษณะสำคัญ 6 เรื่องคือ
1. สารหล่อลื่น มีทั้งแบบแห้งคือไม่มีสารหล่อลื่น และแบบที่มีสารหล่อลื่น แบบที่มีสารหล่อลื่นก็ยังแบ่งเป็นแบบสารหล่อลื่นธรรมดา และแบบที่มีตัวยาฆ่าเชื้อ เช่น nonnoxynol-9 หรือ N-9 เป็นต้น
2. ลักษณะของก้นถุง แบ่งเป็นแบบก้นถุงมนแบบถุงกาแฟ (plain)และแบบถุงมีกระเปาะ หรือติ่ง (reservoir-ended or teat) เพื่อเป็นที่เก็บน้ำอสุจิ ซึ่งแบบนี้จะเป็นที่นิยมมากกว่า และวิธีการสวมใส่ก็แตกต่างกัน
3. รูปทรงของถุง แบ่งเป็นแบบทรงกระบอกตรงๆ (straight) และแบบลูกคลื่น (rippled)
4. ลักษณะผิว แบ่งเป็นแบบผิวเรียบ (smooth) และแบบผิวไม่เรียบ (textured)
5. สี อันนี้คงรู้จักกันดี มีทั้งแบบสีธรรมชาติของยาง หรือ เจ็ดสีมีชัย ประกายรุ้ง
6. กลิ่นและรส มีให้เลือกทั้งกลิ่นรสมินต์ กลิ่นสตรอเบอรี่ กลิ่นมะนาว บางยี่ห้อมีกลิ่นทุเรียนด้วย การเติมกลิ่นและรสนี้เพื่อคนที่ใช้การร่วมเพศทางปาก (oral sex)
  
ขนาดของถุงยางอนามัย
              คุณภาพมาตรฐานและข้อกำหนดของถุงยางอนามัยตามประกาศ ของกระทรวงสาธารณสุขปี 2535 ได้กำหนดประเภทของถุงยางอนามัย ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ เป็น 13 ประเภท ตามขนาดความกว้าง คือตั้งแต่ขนาด 44 มิลลิเมตร จนถึงขนาด 56มิลลิเมตร และกำหนดความยาวของถุงยางวัดจากปลายเปิดจนถึงปลายปิด ไม่รวมส่วนที่เป็นติ่งหรือกระเปาะ ต้องไม่น้อยกว่า 160มิลลิเมตร ซึ่งกำหนดตามมาตรฐานขององค์การกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO) ปี ค.ศ. 1990
สำหรับตลาดในเมืองไทยเท่าที่มีจำหน่าย ก็มีอยู่ 2 ขนาด คือขนาดใหญ่กับขนาดยักษ์ (คนไทยไม่ชอบอะไรที่เล็กๆ)
ขนาดใหญ่ (ความจริงมันก็ขนาดเล็กนั่นแหละ) หรือขนาด49 มิลลิเมตร มีขนาดความกว้างเมื่อวางถุงยางที่คลี่แล้วแบนราบกับพื้น วัดจากขอบหนึ่งถึงขอบหนึ่ง 49 มิลลิเมตร มีขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ขนาดนี้เหมาะกับคนไทยมากที่สุด
ขนาดยักษ์ หรือขนาด 52 มิลลิเมตร ความกว้างเมื่อวางแบนราบ เท่ากับ 52 มิลลิเมตร ความยาวเท่ากับ 180มิลลิเมตร
ความหนาของถุงยางอนามัย
               อย่างที่พูดไว้ข้างต้น ถุงยางอนามัยที่ทำจากลำไส้สัตว์หนาตั้ง 0.15 มิลลิเมตร แต่สำหรับถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติจะบางกว่านั้นมาก เพราะเหนียวและยืดได้มากกว่า ของญี่ปุ่นทำได้บางที่สุดในโลก คือ บางแค่ 0.02มิลลิเมตร ส่วนของอเมริกากำหนดมาตรฐานไว้ที่ ไม่น้อยกว่า 0.03 มิลลิเมตร ของอังกฤษเจมส์บอนด์ กำหนดไว้หนาไม่เกิน 0.04 มิลลิเมตร ขององค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ ระหว่าง 0.05 - 0.08 มิลลิเมตร แล้วของพี่ไทยล่ะ… ไม่มีครับ ไม่มีกำหนดความหนาไว้ในประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2535 แต่เท่าที่เคยมีการกำหนดมาตรฐานของถุงยางอนามัยที่ประกาศ ในการจัดซื้อถุงยางอนามัยไว้ใช้ในโครงการวางแผนครอบครัว เมื่อปี 2526 ได้กำหนดความหนา ไม่มากกว่า 0.06 มิลลิเมตร เอาไว้




วิธีใช้ถุงยางอนามัย
             ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่สามารถนำมาซักแล้วใช้ใหม่ได้ ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุทางความปลอดภัย จะประหยัดนำมา Recycle ใช้ใหม่ไม่ได้นะครับ รวมทั้งระหว่างมีเพศสัมพันธ์ถ้าได้ถอดกลางคันแล้ว ต้องทิ้งเลยครับ ดังนั้นจะต้องมีถุงยางมากกว่า1 อันเสมอไว้เป็นอะไหล่ ทีขับรถคุณยังมียางอะไหล่ แล้วใช้ถุงยางอนามัย ทำไมคุณไม่เตรียมอะไหล่ไว้ยามฉุกเฉินเช่น รั่ว หลุด แตก
การใช้ถุงยางอนามัยควรใช้ก่อนที่อวัยวะเพศทั้งสองฝ่ายจะสัมผัสกัน เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการสวมจะต้องให้อวัยวะเพศชานแข็งตัวเต็มที่แล้ว จะใส่เองก็ได้ หรือจะให้ฝ่ายหญิงค่อยๆ บรรจงสวมใส่ให้ โดยถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเล้าโลมทางเพศก็ได้
ขั้นตอนการใช้ถุงยางอนามัยมีดังนี้
1. บรรจงฉีกซองอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบออกจากซองอย่างนิ่มนวล ระวังอย่าให้ถุงยางอนามัยสัมผัสกับเล็บหรือของประดับที่มีคม
2. ถุงยางอนามัยบรรจุในซองในลักษณะม้วนเป็นรูปวงแหวน ให้รอยม้วนอยู่ด้านนอก คลี่ถุงยางออกมาสัก 1 - 2 เซนติเมตร
3. ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบกระเปาะ(ติ่งตรงปลาย)ไล่ลมออก น้ำมาครอบปลายอวัยวะเพศ (ถ้าหนังหุ้มยาว ต้องรูดขึ้นไปให้พ้นปลายหัว)
4. ใช้อีกมือรูดถุงยางขึ้นไปจนถึงโคน (อีกมือยังคงบีบปลายติ่งอยู่)


5. ถ้าใส่ถูกต้อง ตรงติ่งต้องแบนไม่มีลมอยู่ภายใน (ถ้าเป็นแบบปลายมา ต้องเหลือปลายถุงยางไว้สัก หนึ่งเซ็นติเมตร)ทั้งนี้เพื่อป้องกันถุงยางอนามัยแตก
6. ถ้าความหล่อลื่นไม่พอ ก็สามารถทาสารหล่อลื่นเพิ่มเติมได้ แต่ต้องหลังจากสวมใส่แล้ว และสารหล่อลื่นที่ใช้ ต้องเป็นสารที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ หรือซิลิโคน เช่น ky - jelly อย่ามักง่าย ใช้วาสลินโดยเด็ดขาด เพราะวาสลินเป็นเจลที่มี petroleum เป็นส่วนประกอบ
7. หลังจากมังกรพ่นพิษ ห้ามรอดูผลงาน ห้ามแช่ ต้องรีบถอย ถอนสมอโดยเร็ว ก่อนที่นกเขาจะหลับ ไม่งั้นถุงยางจะหลุดค้างคาในถ้ำ
8. ตอนถอนสมอ มือต้องจับขอบปลายส่วนเปิดไว้ด้วย ไม่งั้นถุงยางอาจถูกหนีบออกแต่ตัว แต่เสื้อหลุดได้ และเมื่อออกมาแล้ว ต้องระมัดระวังมืออย่าไปโดนด้านนอก ของถุงยางที่มีสารคัดหลั่งของฝ่ายหญิงอยู่ อาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ (กรณีมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา)
9. เมื่อถอดออกแล้ว จะทดสอบรอยรั่วได้โดยเอาไปรองน้ำจากก๊อกใส่ถุงยางที่ใช้แล้ว ถ้ารั่วก็จะเห็นได้


บทที่  3
วิธีการสำรวจความคิดเห็น
     ทางคณะกลุ่มได้ทำการสำรวจความคิดเห็นโดยให้กรอกแบบสำรวจคือแบ่งเกณฑ์ตามวัยและอายุดังนี้
อายุ 12-18 ปี 19-25 ปี 26-35 ปี และ 35 ปี ขึ้นไป  แล้วนำมาเฉลี่ยค่าแบ่งเป็นวัยคือ วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่




บทที่ 4
ผลการสำรวจ
จากการสำรวจความคิดเห็นที่ได้เฉลี่ยออกมา ดังนี้
-      กลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 12 – 18 ปี
-      วัยผู้ใหญ่อายุระหว่าง 19 – 35 ปีขึ้นไป
1.  ความคิดเห็นว่าการใช้ถุงยางอนามัยเป็นสิ่งจำเป็นในการร่วมเพศ
-      วัยรุ่นจำนวน 50 คนคิดว่าความจำเป็นในการใช้ถุงยางอนามัยในการร่วมเพศมีความจำเป็นมากที่สุด
-      วัยผู้ใหญ่จำนวน 32 คน มีความคิดว่าความจำเป็นในการใช้ถุงยางอนามัยในการร่วมเพศมีความจำเป็นมากที่สุดและวัยผู้ใหญ่จำนวน 18 คนมีความคิดว่าการใช้ถุงยางอนามัยในการร่วมเพศมีความจำเป็นจำเป็นน้อยมาก
2.  ผู้ที่มีเคยประสบการณ์ในการใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์
-      วัยรุ่นจำนวน 50 คน ลงความคิดเห็นว่าไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้ถุงยางอนามัย
-      วัยผู้ใหญ่จำนวน 39 คน ลงความคิดเห็นว่าเคยมีประสบการณ์ในการใช้ถุงยางอนามัยบ่อยๆ
-      วัยผู้ใหญ่จำนวน 11 คน ลงความคิดเห็นว่าเคยมีประสบการณ์ในการใช้ถุงยางอนามัยอยู่บ้าง
3.  ความคิดเห็นว่าการใช้ถุงยางอนามัยมีอันตรายหรือไม่
-      วัยรุ่น 50 คน ลงความคิดเห็นว่าไม่มีอันตราย
-      วัยผู้ใหญ่ 50 คน ลงความคิดเห็นว่าไม่มีอันตราย
4.  ความคิดเห็นในการยินดีสนับสนุนโดยการเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยในการร่วมเพศ และวิธีการสนับสนุน
-      วัยรุ่นจำนวน 50 คนยินดีสนับสนุนด้านกำลังใจ
-      วัยผู้ใหญ่จำนวน 50 คนยินดีสนับสนุนด้านให้คำแนะนำ ให้ความรู้
5.  ความกล้าที่จะซื้อถุงยางอนามัยที่ร้านสะดวกซื้อ
-      วัยรุ่นจำนวน 50 คน ไม่กล้า
-      วัยผู้ใหญ่ 50 คน กล้า
6.  ความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ของถุงยางอนามัย
-      วัยรุ่นจำนวน 50 คน คิดว่าช่วยป้องกันเอดส์และคุมกำเนิด
-      วัยผู้ใหญ่ 50 คน คิดว่าช่วยป้องกันเอดส์และคุมกำเนิด
7.  ความคิดเห็นในการเลือกที่จะใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์กับไม่ใช้
-      วัยรุ่นจำนวน 50 คน คิดว่าใช้
-      วัยผู้ใหญ่จำนวน 28 คนคิดว่าใช้
-      วัยผู้ใหญ่จำนวน 22 คนคิดว่าไม่ใช้
8.  ความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่จะให้ทดลองใช้ถุงยางอนามัยกับคู่นอน
-      วัยรุ่นจำนวน 50 คน คิดว่า ไม่ลอง เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้
-      วัยผู้ใหญ่จำนวน 50 คน คิดว่า ลอง เพราะไม่ใช่เรื่องเสียหาย


9.  ที่จะให้นักเรียนใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์
-      วันรุ่นจำนวน 29 คน คิดว่าไม่ขอแสดงความคิดเห็น
-      วัยรุ่นจำนวน 21 คนคิดว่า เห็นด้วย
-      วัยผู้ใหญ่จำนวน 50 คนคิดว่า เห็นด้วย


  
บทที่ 5
สรุปและอภิปรายผลการทดลอง
       จากผลการสำรวจพบว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่คิดว่าการใช้ถุงยางอนามัยมีความสำคัญอย่างมากเพราะจะช่วยป้องกันปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามมาเช่น ท้องในวัยเรียน การทิ้งลูก ทำแท้ง เป็นต้น โดยปกติวัยรุ่นจะเป็นวัยที่มีอารมณ์แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา กล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำกล้าลอง
     สำหรับค่าเฉลี่ยของจำนวนความคิดเห็นของวัยรุ่นส่วนใหญ่จะไม่กล้าที่จะซื้อถุงยางอนามัยนำมาใช้เองเพราะอายซึ่งแตกต่างกับวัยผู้ใหญ่ซึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องปกกติ  การที่มีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากการใช้ถุงยางอนามัยแล้วจะเกิดปัญหากับวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ แต่วัยผู้ใหญ่ซึ่งเกิดปัญหาน้อยเพราะวัยนี้สามารถที่จะวางรากฐานชีวิตที่มันคงและมีความพร้อมที่จะมีครอบครัวที่ดีดต่อไป


ลู่ทางการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
1.  สามารถกล้าที่จะนำถุงยางอนามัยไปใช้ในการร่วมเพศทุกครั้ง
2.  มั่นใจและเชื่อใจซึ่งกันว่าจะไม่เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตามมา


ประโยชน์ที่ได้รับ
1.  ทำให้เกิดปัญหาแก่ตนเองและผู้อื่นน้อยลง
2.  ทำให้ไม่มีการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
3.  ทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้ที่เป็นคู่นอนด้วยกัน